Google

Saturday, October 17, 2009

Gaullism : ลัทธิชาลส์เดอโกลล์

ปรัชญาการเมืองของประธานาธิบดี ชาลส์ เดอ โกลล์ แห่งฝรั่งเศส และอิทธิพลของปรัชญานี้ที่มีต่อวิถีชีวิตของคนในชาติฝรั่งเศสในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา สาระสำคัญของลัทธิชาลส์เดอโกลล์ คือ แนวความคิดที่ว่า ผลประโยชน์ของชาติจะต้องอยู่เหนือเหตุผลประโยชน์ส่วนตัว ตามการตีความของเดอ โกลล์ และเดอ โกลล์ได้ทำการเปลี่ยนแปลงน้ำหนักในนโยบายของฝรั่งเศส โดยได้ลดระดับความสำคัญของการเมืองในพรรคที่เคยมีมาตั้งแต่เดิมนั้นลงมา แต่ได้ไปทำให้ตำแหน่งประธานาธิบดีมีลักษณะโดดเด่นขึ้นมาในรัฐบาล เดอ โกลล์ได้วางแนวความคิดไว้ว่า การบริหารแผ่นดิน หากจะให้เกิดประสิทธิผล จะต้องดำเนินการโดยข้ารัฐการที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง โดยมีแรงจูงใจมาจากแนวความคิดของเดอ โกลล์ที่บอกว่า "จะต้องเป็นความจริงที่ยึดหลักผลประโยชน์ของชาติในเชิงวัตถุวิสัย" เดอ โกลล์ยืนยันว่าเขาได้ความจงรักภักดีอย่างจริงใจจากผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ได้เผชิญกับการคัดค้านอย่างต่อเนื่องจากพวกคนที่ท้าทายปรัชญาการปกครองของเขา ถึงแม้ว่า เดอ โกลล์จะแสดงท่าว่าพร้อมที่จะบดขยี้กับทุกสิ่งที่มาขัดขวางเขา แต่ในขณะเดียวกันนั้นเขาก็ได้แสดงออกมาถึงความมุ่งมั่นที่จะยึดหลักการที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแทบทุกตัวอักษรเลยก็ว่าได้ จากลักษณะท่าทางที่เขาแสดงออกในที่สาธารณะ และจากรายงานของสื่อมวลชนแขนงต่าง ๆ ได้แสดงออกมาให้เห็นโดยโจ่งแจ้งว่า เดอ โกลล์เป็นประธานาธิบดีที่ยืนอยู่เหนือการเมือง เป็นสัญลักษณ์ของผู้เป็นองค์อธิปัตย์ที่มีอำนาจอธิปไตย และเป็นผู้ประกันในเอกราชและบูรณภาพแห่งชาติฝรั่งเศสอย่างแท้จริง

ความสำคัญ ประวัติศาสตร์ของสาธารณรัฐที่ 5 จนถึง ค.ศ. 1969 ได้ถูกครอบงำโดยบุคลิกภาพของประธานาธิบดี ชาลส์ เดอ โกลล์ เขาได้ช่วยพลิกฟื้นฝรั่งเศสจากสภาพที่ตกอับอ่อนแอทั้งภายในและภายนอกประเทศ ให้กลับมาผงาดสามารถเรียกเกียรติภูมิระหว่างประเทศและความภาคภูมิใจของคนในชาติกลับคืนมาได้อีกครั้งหนึ่ง รูปแบบปัจจุบันของรัฐบาลฝรั่งเศส ดู ๆ ไปแล้วส่อแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนในเทคนิคการปกครอง และก็คงจะมิใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจากการกระทำของคนคนเดียวอย่างแน่นอน ปัญหาของการสืบทอดเจตนารมณ์ในฝรั่งเศสได้คลี่คลายลงได้เมื่อ ค.ศ. 1969 อันเป็นปีที่นายจอร์จ ปอมปิดูได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี แต่ทว่าผลกระทบของลัทธิชาลส์เดอโกลล์ต่อการเมืองฝรั่งเศส ก็ยังมีประจักษ์พยานให้เห็นอยู่ในช่วงทศวรรษหลังปี ค.ศ. 1980

No comments:

Post a Comment