Google

Friday, August 22, 2025

พจนานุกรม ศัพท์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (อังกฤษ-ไทย) เล่ม 1-4 #ebooks

 พจนานุกรม ศัพท์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (อังกฤษ-ไทย) เล่ม 1-4 #ebooks


พจนานุกรม ศัพท์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (อังกฤษ-ไทย) เล่ม 1
เริ่มต้นทำความเข้าใจโลกการทูตและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างมืออาชีพ!

สำหรับนักศึกษา นักการทูต หรือผู้ที่สนใจเรื่องราวเกี่ยวกับโลกที่กว้างขึ้น พจนานุกรมฉบับนี้คือเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้คุณเข้าถึงคำศัพท์เฉพาะทางได้อย่างแม่นยำ

ภายในเล่ม 1 ประกอบด้วย 3 หมวดวิชาสำคัญที่ครอบคลุมประเด็นหลักของโลกการทูต ได้แก่:

ศัพท์หมวดกฎหมายระหว่างประเทศ: เข้าใจหลักเกณฑ์และข้อบังคับที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐต่างๆ

ศัพท์หมวดการควบคุมอาวุธและการลดกำลังรบ: เจาะลึกคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงและสันติภาพของโลก

ศัพท์หมวดธรรมชาติและบทบาทของการทูต: เรียนรู้แก่นแท้และหน้าที่ของการทูตในโลกยุคใหม่

อย่ารอช้า! ดาวน์โหลดทันทีเพื่อสร้างความได้เปรียบในการเรียนรู้และทำงานของคุณให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น!
Link: https://www.mebmarket.com/web/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMzI2MjM5MSI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjY6IjI3MTEwMyI7fQ
====================
อย่าปล่อยให้โลกแซงหน้า! พจนานุกรมเล่มนี้จะทำให้คุณเท่าทันโลกการเมืองระหว่างประเทศ!
คุณรู้หรือไม่ว่าทำไมมหาอำนาจถึงตัดสินใจแบบนั้น? ทำไมนโยบายของแต่ละประเทศถึงส่งผลกระทบต่อชีวิตเรา? คำตอบทั้งหมดอยู่ใน "พจนานุกรม ศัพท์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (อังกฤษ-ไทย) เล่ม 2"

พจนานุกรมฉบับนี้จะพาคุณไปเจาะลึก 3 หมวดวิชาสำคัญที่ทุกคนต้องรู้!

ศัพท์หมวดชาตินิยม จักรวรรดินิยมและลัทธิล่าอาณานิคม: ทำความเข้าใจรากเหง้าของความขัดแย้งและอุดมการณ์ที่ขับเคลื่อนโลกมาจนถึงปัจจุบัน

ศัพท์หมวดนโยบายต่างประเทศ: เรียนรู้ศัพท์สำคัญที่จะช่วยให้คุณวิเคราะห์และเข้าใจการตัดสินใจของรัฐบาลทั่วโลก

ศัพท์หมวดนโยบายต่างประเทศสหรัฐอเมริกา: เจาะลึกนโยบายของประเทศที่มีอิทธิพลมากที่สุดในโลก เพื่อที่คุณจะเข้าใจทิศทางของโลกในอนาคต

ใครที่อยากรู้เท่าทันโลกการเมืองต้องมีเล่มนี้! ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษา นักวิเคราะห์ หรือแค่คนที่อยากเข้าใจข่าวสาร พจนานุกรมเล่มนี้จะช่วยให้คุณเชื่อมโยงจุดต่างๆ เข้าหากันได้อย่างชัดเจน

กดซื้อเลย! แล้วคุณจะมองโลกใบนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป!

Link: https://www.mebmarket.com/web/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMzI2MjM5MSI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjY6IjI3MTEwNSI7fQ
=====================
พจนานุกรม ศัพท์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (อังกฤษ-ไทย) เล่ม 3
พจนานุกรมเล่ม 3 ที่จะช่วยให้คุณเข้าใจโลกได้ลึกขึ้น!

สำหรับผู้ที่ทำงานด้านการต่างประเทศ นักศึกษา หรือผู้ที่สนใจเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ พจนานุกรมเล่มนี้จะช่วยให้คุณเข้าถึงคำศัพท์เฉพาะทางได้อย่างแม่นยำ ภายในเล่มประกอบด้วย 3 หมวดสำคัญ ที่จะทำให้คุณไม่ตกข่าวและเข้าใจสถานการณ์โลกปัจจุบันได้อย่างทันท่วงที:

ศัพท์หมวดภูมิศาสตร์และประชากร: เข้าใจคำศัพท์เกี่ยวกับพื้นที่และผู้คน เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์โลกได้อย่างรอบด้าน

ศัพท์หมวดสงครามและนโยบายทางการทหาร: เจาะลึกคำศัพท์ที่ใช้ในบริบทความขัดแย้งและนโยบายด้านความมั่นคง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการทำความเข้าใจข่าวสารและเหตุการณ์ต่างๆ

ศัพท์หมวดองค์การระหว่างประเทศ: เรียนรู้คำศัพท์เกี่ยวกับองค์กรระดับโลก เพื่อเข้าใจบทบาทและอิทธิพลขององค์กรเหล่านั้นในเวทีโลก

ดาวน์โหลดตอนนี้! เพื่อเพิ่มความเข้าใจในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของคุณให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น

Link: https://www.mebmarket.com/web/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMzI2MjM5MSI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjY6IjI3MzMxOCI7fQ
=======================

โลกกำลังเปลี่ยนไป! คุณพร้อมหรือยัง?
นี่คือโอกาสสุดท้ายของคุณที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างแท้จริง!

เล่มนี้คือบทสรุปที่สมบูรณ์แบบที่จะทำให้คุณเข้าใจเบื้องลึกเบื้องหลังของโลกใบนี้! "พจนานุกรม ศัพท์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (อังกฤษ-ไทย) เล่ม 4 (เล่มจบ)"

ในเล่มสุดท้ายนี้ คุณจะได้พบกับ 2 หมวดวิชาที่ทรงอิทธิพลที่สุดในยุคปัจจุบัน:

ศัพท์หมวดอุดมการณ์และการสื่อสาร: เข้าใจถึงพลังที่ขับเคลื่อนสังคมและการเมืองโลก และกลยุทธ์การสื่อสารที่สามารถเปลี่ยนความคิดของผู้คนได้

ศัพท์หมวดเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ: ไขความลับของระบบเศรษฐกิจโลก การค้า การลงทุน และผลกระทบที่ส่งตรงถึงชีวิตประจำวันของเราทุกคน

อย่าปล่อยให้ความเข้าใจของคุณขาดหายไป! เล่มนี้จะช่วยเติมเต็มทุกช่องว่างที่เหลืออยู่ และทำให้คุณเป็นคนที่มีความรู้รอบด้านอย่างแท้จริง

ซื้อเลย! เพื่อปิดท้ายคอลเลกชันความรู้ของคุณให้สมบูรณ์แบบ!

Link: https://www.mebmarket.com/web/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMzI2MjM5MSI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjY6IjI3MzMyMCI7fQ
====================

ข้อแนะนำเกี่ยวกับการสอบเป็น นักการทูต กระทรวงการต่างประเทศ

 ข้อแนะนำเกี่ยวกับการสอบเป็น นักการทูต กระทรวงการต่างประเทศ

คำนำ
ข้อแนะนำนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นแนวทางและเครื่องมือสำคัญสำหรับผู้ที่เตรียมตัวสอบแข่งขันเพื่อบรรจุเป็นนักการทูตปฏิบัติการ กระทรวงการต่างประเทศ เนื่องจากภารกิจของนักการทูตมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการขับเคลื่อนนโยบายต่างประเทศของชาติ และเป็นอาชีพที่ต้องอาศัยความรู้ความสามารถรอบด้านทั้งในเรื่องของการเมือง เศรษฐกิจ สังคม กฎหมาย และภาษาต่างประเทศ
ด้วยเหตุนี้ ข้อแนะนำที่รวบรวมไว้ในหนังสือเล่มนี้จึงครอบคลุมทุกส่วนของการสอบ ทั้งในด้านความรู้ทั่วไป ความรู้เฉพาะด้านการทูตและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และทักษะด้านภาษาต่างประเทศ ผู้จัดทำได้ศึกษาแนวทางการออกข้อสอบในปีก่อนๆ อย่างละเอียด เพื่อให้มั่นใจว่าเนื้อหาจะสามารถช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจและคุ้นเคยกับรูปแบบคำถามที่อาจต้องเจอในการสอบจริง
ผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ข้อแนะนำ "เกี่ยวกับการสอบเป็น นักการทูต กระทรวงการต่างประเทศ" ชุดนี้นี้จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งแก่ผู้อ่านทุกท่าน และเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ความฝันในการเป็นนักการทูตของคุณเป็นจริงได้ในที่สุด
===============
หมวดที่ 1: ความรู้ด้านการเมือง การปกครอง และเศรษฐกิจของไทยและต่างประเทศ
หัวข้อด้านล่างนี้เป็นหัวข้อที่มักจะถูกใช้ในการออกข้อสอบเพื่อวัดความรู้ทั่วไปด้านการเมือง การปกครอง และเศรษฐกิจของไทยและต่างประเทศ
-การเมืองและการปกครองของไทย
ประวัติศาสตร์การเมือง: เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์การเมืองตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475, การรัฐประหารที่สำคัญ และรัฐธรรมนูญฉบับต่างๆ
-โครงสร้างการปกครอง: ระบบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข, อำนาจทั้ง 3 (นิติบัญญัติ, บริหาร, ตุลาการ) และบทบาทขององค์กรอิสระ
-นโยบายรัฐบาล: นโยบายสำคัญในปัจจุบัน เช่น นโยบายเศรษฐกิจ, สังคม และการต่างประเทศ
-การเมืองและการปกครองของต่างประเทศ
ระบบการเมืองหลักของโลก: ระบบประชาธิปไตย, สังคมนิยม, คอมมิวนิสต์ และเผด็จการ (ตัวอย่าง: สหรัฐอเมริกา, จีน, รัสเซีย)
-เหตุการณ์สำคัญของโลก: สงครามในยูเครน, ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง, สถานการณ์ในทะเลจีนใต้ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมหาอำนาจ
-องค์การระหว่างประเทศ: บทบาทและหน้าที่ขององค์กรสำคัญ เช่น สหประชาชาติ (UN), สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN), และสหภาพยุโรป (EU)
-เศรษฐกิจของไทยและต่างประเทศ
นโยบายเศรษฐกิจของไทย: แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, นโยบายการเงินและการคลังของธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงการคลัง, และโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ
-เศรษฐกิจโลก: ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก เช่น ภาวะเงินเฟ้อ, อัตราดอกเบี้ย, ราคาน้ำมัน, และสงครามการค้า
-กลุ่มเศรษฐกิจสำคัญ: ความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เช่น ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) และความตกลงการค้าเสรี (FTA)
-ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์: ทฤษฎีสำคัญที่นักการทูตควรรู้ เช่น เศรษฐศาสตร์จุลภาคและมหภาค และหลักการเศรษฐกิจพอเพียง
=====================
หมวดที่ 2: ความรู้ด้านสังคม วัฒนธรรม และเทคโนโลยี
-ความรู้ด้านสังคมและวัฒนธรรม
สังคมไทย: ลักษณะเฉพาะของสังคมไทย เช่น ระบบอุปถัมภ์, ความหลากหลายทางชาติพันธุ์และศาสนา รวมถึงความท้าทายทางสังคมที่สำคัญในปัจจุบัน เช่น ความเหลื่อมล้ำและปัญหาสังคมผู้สูงอายุ
-วัฒนธรรมโลก: ความหลากหลายทางวัฒนธรรมในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก และประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการทูตวัฒนธรรม (Cultural Diplomacy)
-สิทธิมนุษยชน: หลักการสากลและพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชนที่สำคัญ รวมถึงบทบาทขององค์กรระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง เช่น คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ
-ความรู้ด้านเทคโนโลยี
การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี: แนวโน้มและผลกระทบของเทคโนโลยีที่พลิกโฉมโลก เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI), เทคโนโลยีควอนตัม, และเทคโนโลยีชีวภาพ
-ภัยคุกคามทางไซเบอร์: ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับความมั่นคงทางไซเบอร์และแนวทางรับมือภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติและเศรษฐกิจ
-นวัตกรรมและการพัฒนาที่ยั่งยืน: บทบาทของเทคโนโลยีในการแก้ไขปัญหาระดับโลก เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)
ส่วนที่ 2: ความรู้ด้านภาษาต่างประเทศ (Foreign Language)
หมวดที่ 1: ภาษาอังกฤษ
ความรู้ด้านภาษาอังกฤษ
ไวยากรณ์ (Grammar)
Tenses: ความเข้าใจและการใช้ Present, Past และ Future Tenses
Parts of Speech: การใช้คำนาม (Nouns), คำสรรพนาม (Pronouns), คำกริยา (Verbs), คำคุณศัพท์ (Adjectives) และคำกริยาวิเศษณ์ (Adverbs) อย่างถูกต้อง
โครงสร้างประโยค (Sentence Structure): ประโยคที่ซับซ้อน (Complex Sentences), ประโยคความรวม (Compound Sentences) และการใช้เครื่องหมายวรรคตอน (Punctuation)
Conditional Sentences: การใช้ประโยค If-Clause ในรูปแบบต่างๆ
Active and Passive Voice: ความสามารถในการเปลี่ยนประโยคจาก Active Voice เป็น Passive Voice และในทางกลับกัน
คำศัพท์ (Vocabulary)
คำศัพท์ทั่วไป: คำศัพท์ที่ใช้ในชีวิตประจำวันและในการสื่อสารทั่วไป
คำศัพท์เฉพาะทาง: คำศัพท์ด้านการเมือง เศรษฐกิจ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กฎหมาย และการทูต
Idioms and Phrasal Verbs: สำนวนและวลีที่ใช้บ่อยในภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทที่เป็นทางการ
การอ่าน (Reading Comprehension)
การจับใจความหลัก: ความสามารถในการอ่านบทความ สรุปประเด็นสำคัญ และเข้าใจวัตถุประสงค์ของผู้เขียน
การวิเคราะห์บทความ: การทำความเข้าใจเนื้อหาที่ซับซ้อน เช่น บทความจากวารสารวิชาการ รายงานข่าว หรือเอกสารทางการทูต
การอ่านเร็ว: การสแกน (Scanning) และการอ่านแบบกวาดสายตา (Skimming) เพื่อหาข้อมูลที่ต้องการอย่างรวดเร็ว
การเขียน (Writing)
การเขียนเรียงความ: การเขียนเรียงความเชิงวิเคราะห์และเชิงโต้แย้งที่มีโครงสร้างชัดเจน
การสรุปความ: การย่อความจากข้อความยาวๆ ให้สั้นกระชับแต่ได้ใจความครบถ้วน
การเขียนจดหมาย: การเขียนจดหมายทางการ (Formal Letters) และการเขียนอีเมลในบริบทต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม
หมวดที่ 2: ภาษาที่สาม (ถ้ามี)
ในหมวดนี้จะครอบคลุมภาษาที่สาม ซึ่งมักจะเน้นภาษาหลักที่ใช้ในการสื่อสารระหว่างประเทศ เช่น จีน, ฝรั่งเศส, ญี่ปุ่น, สเปน, เยอรมัน, หรือรัสเซีย
ภาษาที่สาม
ความรู้ด้านไวยากรณ์และคำศัพท์ (Grammar and Vocabulary)
ไวยากรณ์พื้นฐาน: ความเข้าใจโครงสร้างประโยคเบื้องต้น การผันคำกริยา และการใช้คำบุพบท
คำศัพท์ทั่วไป: คำศัพท์ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น การทักทาย, การแนะนำตัว, และการสนทนาเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัว
คำศัพท์เฉพาะทาง: คำศัพท์ด้านการเมือง เศรษฐกิจ และการทูตที่ใช้ในภาษานั้น ๆ
ทักษะการอ่าน (Reading Skills)
การอ่านเพื่อจับใจความ: ความสามารถในการอ่านบทความสั้น ๆ เช่น ข่าว, จดหมาย หรือรายงาน เพื่อสรุปใจความสำคัญได้
การทำความเข้าใจบริบท: การตีความความหมายจากบริบทของประโยคหรือย่อหน้า
การสอบภาษาที่สามมักจะมุ่งเน้นความสามารถในการสื่อสารในระดับพื้นฐานไปจนถึงระดับกลาง เพื่อประเมินความพร้อมในการเรียนรู้ภาษาเพิ่มเติมที่จำเป็นสำหรับการทำงานในอนาคต
=====================
หมวดที่ 3: ความรู้เฉพาะตำแหน่ง (Specialized Knowledge)
หมวดที่ 1: การทูตและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
-การทูตและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
หลักการและหน้าที่ทางการทูต
ความหมายของการทูต: ทำความเข้าใจว่าการทูตคืออะไร, บทบาทของนักการทูต, และทำไมการทูตจึงมีความสำคัญต่อรัฐ
-เครื่องมือทางการทูต: การเจรจา, การทำสนธิสัญญา, การประชุม, และการใช้การทูตสาธารณะ (Public Diplomacy)
-การทูตหลายฝ่าย (Multilateral Diplomacy): บทบาทของนักการทูตในองค์กรระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติ (UN) และอาเซียน (ASEAN)
-ประวัติศาสตร์การทูตไทย
ยุคเริ่มต้น: ความสัมพันธ์ของสยามกับชาติตะวันตกในอดีต (เช่น สนธิสัญญาเบาว์ริง)
-ยุคสงครามโลก: บทบาทของไทยในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2
-ยุคปัจจุบัน: พัฒนาการของนโยบายการต่างประเทศของไทยตั้งแต่หลังสงครามเย็นจนถึงปัจจุบัน
-บทบาทของกระทรวงการต่างประเทศ
โครงสร้างและภารกิจ: โครงสร้างของกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานในสังกัด เช่น กรมต่างๆ และสถานเอกอัครราชทูต
-บทบาทสำคัญ: การคุ้มครองผลประโยชน์ของคนไทยในต่างประเทศ, การส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีกับนานาชาติ, และการเป็นตัวแทนของประเทศไทยในเวทีโลก
-สนธิสัญญาและกฎหมายระหว่างประเทศที่สำคัญ
กฎหมายระหว่างประเทศ: หลักการพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศที่นักการทูตควรรู้ เช่น สิทธิอธิปไตยของรัฐ, การไม่แทรกแซงกิจการภายใน, และสนธิสัญญาเวียนนาว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญา
-สนธิสัญญาสำคัญ: ความรู้เกี่ยวกับสนธิสัญญาหลักที่เกี่ยวข้องกับการค้าระหว่างประเทศ (WTO), การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Paris Agreement) และความมั่นคง (Treaty on the Non-Proliferation of Nuclear Weapons)
แนวคิดใหม่: ความเข้าใจเกี่ยวกับประเด็นร่วมสมัยในกฎหมายระหว่างประเทศ เช่น อาชญากรรมข้ามชาติ, การก่อการร้าย, และความมั่นคงทางทะเล
=====================
หมวดที่ 2: สถานการณ์โลกและนโยบายต่างประเทศของไทย
สถานการณ์โลกและนโยบายต่างประเทศของไทย
นโยบายการต่างประเทศของไทย
-หลักการพื้นฐาน: ความเป็นกลาง, การรักษาผลประโยชน์แห่งชาติ, การสร้างความสัมพันธ์อันดีกับทุกประเทศ
-นโยบายในภูมิภาค: บทบาทของไทยในอาเซียน, ความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน และแนวทางการรับมือประเด็นความมั่นคงชายแดน
-นโยบายต่อมหาอำนาจ: การรักษาสมดุลความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกา, จีน และมหาอำนาจอื่น ๆ
-สถานการณ์โลกในปัจจุบัน
ความขัดแย้งในภูมิภาคต่าง ๆ: สาเหตุและผลกระทบของสงครามในยูเครน, สถานการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลาง, และประเด็นความมั่นคงในทะเลจีนใต้
-ประเด็นข้ามชาติ: การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ, การก่อการร้าย, อาชญากรรมข้ามชาติ, การอพยพย้ายถิ่นฐาน และการแพร่ระบาดของโรค
-การแข่งขันทางเศรษฐกิจและการค้า: สงครามการค้า, การกีดกันทางการค้า และบทบาทขององค์กรเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เช่น WTO และ APEC
-การทูตในยุคดิจิทัล
การทูตสาธารณะ (Public Diplomacy): การใช้สื่อสังคมออนไลน์และเครื่องมือดิจิทัลในการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศ
-ภัยคุกคามทางไซเบอร์: การทูตด้านความมั่นคงไซเบอร์และแนวทางการทำงานร่วมกับนานาชาติเพื่อรับมือภัยคุกคามที่เกิดขึ้นใหม่
=====================
สำหรับหนังสือที่จะเป็นนักการทูต ควรมีและควรอ่านเป็นอย่างยิ่ง ดูข้างล่างนี้ครับ
=====================
พจนานุกรม ศัพท์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (อังกฤษ-ไทย) เล่ม 1-4 #ebooks
พจนานุกรม ศัพท์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (อังกฤษ-ไทย) เล่ม 1
เริ่มต้นทำความเข้าใจโลกการทูตและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างมืออาชีพ!
สำหรับนักศึกษา นักการทูต หรือผู้ที่สนใจเรื่องราวเกี่ยวกับโลกที่กว้างขึ้น พจนานุกรมฉบับนี้คือเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้คุณเข้าถึงคำศัพท์เฉพาะทางได้อย่างแม่นยำ
ภายในเล่ม 1 ประกอบด้วย 3 หมวดวิชาสำคัญที่ครอบคลุมประเด็นหลักของโลกการทูต ได้แก่:
ศัพท์หมวดกฎหมายระหว่างประเทศ: เข้าใจหลักเกณฑ์และข้อบังคับที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐต่างๆ
ศัพท์หมวดการควบคุมอาวุธและการลดกำลังรบ: เจาะลึกคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงและสันติภาพของโลก
ศัพท์หมวดธรรมชาติและบทบาทของการทูต: เรียนรู้แก่นแท้และหน้าที่ของการทูตในโลกยุคใหม่
อย่ารอช้า! ดาวน์โหลดทันทีเพื่อสร้างความได้เปรียบในการเรียนรู้และทำงานของคุณให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น!
====================
อย่าปล่อยให้โลกแซงหน้า! พจนานุกรมเล่มนี้จะทำให้คุณเท่าทันโลกการเมืองระหว่างประเทศ!
คุณรู้หรือไม่ว่าทำไมมหาอำนาจถึงตัดสินใจแบบนั้น? ทำไมนโยบายของแต่ละประเทศถึงส่งผลกระทบต่อชีวิตเรา? คำตอบทั้งหมดอยู่ใน "พจนานุกรม ศัพท์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (อังกฤษ-ไทย) เล่ม 2"
พจนานุกรมฉบับนี้จะพาคุณไปเจาะลึก 3 หมวดวิชาสำคัญที่ทุกคนต้องรู้!
ศัพท์หมวดชาตินิยม จักรวรรดินิยมและลัทธิล่าอาณานิคม: ทำความเข้าใจรากเหง้าของความขัดแย้งและอุดมการณ์ที่ขับเคลื่อนโลกมาจนถึงปัจจุบัน
ศัพท์หมวดนโยบายต่างประเทศ: เรียนรู้ศัพท์สำคัญที่จะช่วยให้คุณวิเคราะห์และเข้าใจการตัดสินใจของรัฐบาลทั่วโลก
ศัพท์หมวดนโยบายต่างประเทศสหรัฐอเมริกา: เจาะลึกนโยบายของประเทศที่มีอิทธิพลมากที่สุดในโลก เพื่อที่คุณจะเข้าใจทิศทางของโลกในอนาคต
ใครที่อยากรู้เท่าทันโลกการเมืองต้องมีเล่มนี้! ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษา นักวิเคราะห์ หรือแค่คนที่อยากเข้าใจข่าวสาร พจนานุกรมเล่มนี้จะช่วยให้คุณเชื่อมโยงจุดต่างๆ เข้าหากันได้อย่างชัดเจน
กดซื้อเลย! แล้วคุณจะมองโลกใบนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป!
=====================
พจนานุกรม ศัพท์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (อังกฤษ-ไทย) เล่ม 3
พจนานุกรมเล่ม 3 ที่จะช่วยให้คุณเข้าใจโลกได้ลึกขึ้น!
สำหรับผู้ที่ทำงานด้านการต่างประเทศ นักศึกษา หรือผู้ที่สนใจเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ พจนานุกรมเล่มนี้จะช่วยให้คุณเข้าถึงคำศัพท์เฉพาะทางได้อย่างแม่นยำ ภายในเล่มประกอบด้วย 3 หมวดสำคัญ ที่จะทำให้คุณไม่ตกข่าวและเข้าใจสถานการณ์โลกปัจจุบันได้อย่างทันท่วงที:
ศัพท์หมวดภูมิศาสตร์และประชากร: เข้าใจคำศัพท์เกี่ยวกับพื้นที่และผู้คน เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์โลกได้อย่างรอบด้าน
ศัพท์หมวดสงครามและนโยบายทางการทหาร: เจาะลึกคำศัพท์ที่ใช้ในบริบทความขัดแย้งและนโยบายด้านความมั่นคง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการทำความเข้าใจข่าวสารและเหตุการณ์ต่างๆ
ศัพท์หมวดองค์การระหว่างประเทศ: เรียนรู้คำศัพท์เกี่ยวกับองค์กรระดับโลก เพื่อเข้าใจบทบาทและอิทธิพลขององค์กรเหล่านั้นในเวทีโลก
ดาวน์โหลดตอนนี้! เพื่อเพิ่มความเข้าใจในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของคุณให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น
=======================
โลกกำลังเปลี่ยนไป! คุณพร้อมหรือยัง?
นี่คือโอกาสสุดท้ายของคุณที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างแท้จริง!
เล่มนี้คือบทสรุปที่สมบูรณ์แบบที่จะทำให้คุณเข้าใจเบื้องลึกเบื้องหลังของโลกใบนี้! "พจนานุกรม ศัพท์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (อังกฤษ-ไทย) เล่ม 4 (เล่มจบ)"
ในเล่มสุดท้ายนี้ คุณจะได้พบกับ 2 หมวดวิชาที่ทรงอิทธิพลที่สุดในยุคปัจจุบัน:
ศัพท์หมวดอุดมการณ์และการสื่อสาร: เข้าใจถึงพลังที่ขับเคลื่อนสังคมและการเมืองโลก และกลยุทธ์การสื่อสารที่สามารถเปลี่ยนความคิดของผู้คนได้
ศัพท์หมวดเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ: ไขความลับของระบบเศรษฐกิจโลก การค้า การลงทุน และผลกระทบที่ส่งตรงถึงชีวิตประจำวันของเราทุกคน
อย่าปล่อยให้ความเข้าใจของคุณขาดหายไป! เล่มนี้จะช่วยเติมเต็มทุกช่องว่างที่เหลืออยู่ และทำให้คุณเป็นคนที่มีความรู้รอบด้านอย่างแท้จริง
ซื้อเลย! เพื่อปิดท้ายคอลเลกชันความรู้ของคุณให้สมบูรณ์แบบ!

Saturday, October 17, 2009

Atlantic Charter : กฎบัตรแอตแลนติก

ปฏิญญาร่วมที่ออกแถลงโดยประธานาธิบดี แฟรงกลิน ดี รูสเวลท์ (Franklin D. Roosevelt) แห่งสหรัฐอเมริกา และนายกรัฐมนตรี วินสตัน เชอร์ชิลล์ (Winston Churchill)แห่งอังกฤษ เมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1941 ภายหลังจากที่ได้ประชุมร่วมกันบนเรือลำหนึ่งกลางมหาสมุทรแอตแลนติก กฎบัตรแอตแลนติกนี้ได้ประกาศหลักการต่าง ๆ ที่สองประเทศนี้ใช้นำทางเพื่อแสวงหาสันติภาพที่ยุติธรรมและโลกที่มีเสถียรภาพ ภายหลังจากที่ระบอบการปกครองของนาซีได้ถูกทำลายแล้ว หลักการต่าง ๆ ในกฎบัตรแอตแลนติก ได้แก่ (1) ให้มีเสรีภาพ 4 อย่าง คือ เสรีภาพที่ปลอดจากความกลัว เสรีภาพที่ปลอดจากความต้องการ เสรีภาพในการพูด และเสรีภาพในการนับถือศาสนา (2) ให้มีการใช้หลักการกำหนดแนวทางปกครองด้วยตนเองในการเปลี่ยนแปลงดินแดนทั้งปวง (3) ให้สิทธิแก่ประชาชนชาติต่าง ๆ ที่จะเลือกรูปแบบการปกครองของรัฐบาลที่พวกตนจะเข้าไปอยู่อาศัยด้วยนั้น (4) ให้มีความเท่าเทียมกันในการเข้าถึงการค้า และการหาวัตถุดิบต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อความไพบูลย์ และให้มีการร่วมมือร่วมแรงกันทางเศรษฐกิจในหมู่ชาติทั้งปวง (5) ให้มีสันติภาพพร้อมกับมีความมั่นคงสำหรับรัฐทั้งปวง (6) ให้มีเสรีภาพทางทะเล และ (7) ไม่ให้การสนับสนุนการใช้กำลัง ให้มีการสถาปนาระบบความมั่นคงร่วมกันเป็นการถาวร และให้มีการลดกำลังรบของทุกชาติที่คุกคามสันติภาพ

ความสำคัญ กฎบัตรแอตแลนติกนี้ มีลักษณะเหมือนกับโครงการ "โฟร์ทีนพ้อยท์" ที่ประกาศโดยประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสัน ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 คือใช้เป็นเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อสำคัญอย่างหนึ่ง ที่มีเป้าหมายให้ไปกระตุ้นมวลชนให้หันมาสนับสนุนแนวทางของฝ่ายพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่ 2 กฎบัตรแอตแลนติกนี้มีจุดมุ่งหมายโดยเฉพาะคือเพื่อจะสยบความรู้สึกของคนในสหรัฐอเมริกาที่ต้องการให้ยึดนโยบายแยกอยู่โดดเดี่ยวต่อไป เพราะว่าได้มีการประกาศกฎบัตรนี้ 4 เดือนก่อนที่ญี่ปุ่นจะโจมตีเพิลฮาร์เบอร์แล้วสหรัฐฯก็ได้เข้าร่วมในสงคราม หลักการต่าง ๆ ของกฎบัตรนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ ที่เกี่ยวกับเสรีภาพ 4 อย่างนั้น ได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวางให้เป็นเป้าหมายของสงคราม แต่หลักการเหล่านี้ได้กลับกลายเป็นสิ่งมีอิทธิพลมากขึ้นในช่วงหลังสงคราม หลักการของกฎบัตรแอตแลนติกหลายข้อได้มีการนำไปปฏิบัติ ยกตัวอย่างเช่น หลักการปกครองตนเองได้ช่วยสร้างความชอบธรรมให้แก่ความใฝ่ฝันของคนที่ตกอยู่ใต้อำนาจการปกครองของเจ้าอาณานิคมในอาณานิคมต่าง ๆ หลายล้านคนที่ต้องการได้เอกราชและมีรัฐเป็นของของตน ส่วนหลักการ"ระบบความมั่นคงร่วมกันที่ถาวร" นี้ก็ได้ก่อรูปเป็นองค์การสหประชาชาติ และหลักการการร่วมมือกันทางด้านเศรษฐกิจก็ได้มีการส่งเสริมเป็นการใหญ่อย่างที่ไม่เคยมีตัวอย่างมาก่อน กฎบัตรแอตแลนติกนี้ได้รับการกระตุ้นจากพวกที่ยึดแนวทางอุดมคติในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ

Brainwashing : การล้างสมอง

เทคนิควิธีทางจิตวิทยา ที่นำมาใช้เพื่อปรับแนวความคิดของบุคคลเสียใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับแบบที่ได้ตั้งเกณฑ์เอาไว้แล้ว คำว่า "brainwashing" นี้ได้มาจากภาษาพูดในภาษาจีนที่เขียนตามคำอ่านว่า สี-เหน่า (แปลว่า ล้างสมอง) การล้างสมองนี้จะดำเนินการโดยให้มีการสารภาพความผิดเสียก่อนแล้วจากนั้นก็จะมีการใช้กระบวนการให้การศึกษาใหม่ วิธีการต่าง ๆ ที่นำมาใช้เพื่อให้เกิดผลในการล้างสมองแก่บุคคลนั้นก็จะมีการใช้วิธีรุนแรงและผ่อนปรนผสานกันไป กับจะมีการสลับฉากด้วยการใช้วิธีการให้คุณและให้โทษทั้งทางร่างกายและทางจิตใจอีกด้วย ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงนี้มีการออกแบบมาเพื่อให้บุคคลนั้นละทิ้งความคิดอ่านแบบเก่านั้นเสียก่อนแล้วต่อจากนั้นก็จะสร้างความคิดอ่านแบบใหม่ใส่เข้าไปไว้แทน

ความสำคัญ เทคนิควิธีการล้างสมองนี้ ได้ถูกนำไปใช้อย่างเป็นล่ำเป็นสันโดยพวกคนจีน เพื่อพร่ำสอนแนวความคิดความอ่านของมวลชนชาวจีนในช่วงหลังปี ค.ศ. 1949 ที่พวกคอมมิวนิสต์ได้ชัยชนะในสงครามกลางเมืองจีนแล้ว และในช่วงเกิดความขัดแย้งในสงครามเกาหลี พวกคนจีนก็ได้พยายามล้างสมองพวกเชลยศึกอเมริกันได้สำเร็จในบางราย มีเชลยศึกอเมริกันบางรายประกาศเลิกจงรักภักดีต่อสหรัฐอเมริกา ได้สารภาพบาปที่ได้ก่ออาชญากรรมสงคราม เช่น การทำสงครามเชื้อโรค เป็นต้น และพวกนี้ก็ได้เลือกที่จะขอลี้ภัยอยู่ในจีนแทนที่จะถูกส่งตัวกลับประเทศสหรัฐอเมริกา การล้างสมองที่ใช้เป็นเทคนิควิธีสำหรับปรับค่านิยมใหม่ให้แก่บุคคลและเพื่อเปลี่ยนแปลงความจงรักภักดีของบุคคลนี้ จะมีผลอย่างไรบ้างนั้น ข้อนี้ยากที่จะประเมิน แม้ว่ามีผู้เชี่ยวชาญทางสงครามจิตวิทยาบางรายมีความเชื่อว่า การล้างสมองนี้สามารถใช้อย่างมีประสิทธิผลในการเปลี่ยนแปลงค่านิยมทางด้านอุดมการณ์มากยิ่งกว่าในการเปลี่ยนแปลงความจงรักภักดีต่อชาติของบุคคล

.Capitalism : ลัทธินายทุน

ทฤษฎีและระบบทางเศรษฐกิจที่ตั้งอยู่บนรากฐานของหลักการประกอบการอิสระแบบเสรีนิยม ทฤษฎีลัทธินายทุนเรียกร้องให้เอกชนมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินและในปัจจัยการผลิต ให้มีระบบแข่งขันกันโดยมีกำไรมาเป็นตัวกระตุ้น ให้เอกชนมีส่วนริเริ่มในกระบวนการทางเศรษฐกิจ ไม่ให้รัฐบาลขัดขวางในเรื่องของกรรมสิทธิ์ การผลิตและการค้า กับให้มีเศรษฐกิจแบบการตลาด คือ ให้เป็นระบบที่เป็นไปตามกฎเกณฑ์ของอุปทานและอุปสงค์ นอกจากนี้แล้ว ทฤษฎีลัทธินายทุนนี้ก็ยังมีข้อสมมติฐานด้วยว่าหากปล่อยให้แรงงานและทุนเคลื่อนไหวได้อย่างเสรีและให้มีการค้าเสรีทั้งในตลาดภายในประเทศและในตลาดต่างประเทศด้วยแล้ว ก็จะส่งผลให้เกิดการแบ่งงานกันทำระหว่างประเทศและเกิดการชำนาญเฉพาะทางระหว่างชาติต่าง ๆ ขึ้นมาได้ ถึงแม้ว่าลัทธินายทุนในบางรูปแบบจะมีอยู่ในสังคมมนุษย์ตลอดมาก็จริงแต่ทฤษฎีที่ซับซ้อนที่ใช้เป็นฐานรองรับลัทธินายทุนในสมัยใหม่เหล่านี้ ได้เริ่มพัฒนาขึ้นมาโดยพวกนักเศรษฐศาสตร์ในยุคคลาสสิก ซึ่งเริ่มต้นด้วยการตีพิมพ์หนังสือเรื่อง เวลท์ ออฟ เนชั่นส์ ของอาดัม สมิธ เมื่อปี ค.ศ. 1776

ความสำคัญ ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่18 ต่อมาถึงคริสต์ศตวรรษที่19 หลักการและแนวปฏิบัติใหม่ ๆ ของลัทธิทุนนิยม รวมทั้งแนวความคิดทางประชาธิปไตยของเสรีนิยมทางการเมืองได้เข้ามาแทนที่ลัทธิพาณิชยนิยมและระบอบราชาธิปไตยที่มีมาแต่เดิม เมื่อรัฐบาลได้ทำการควบคุมกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศของลัทธิพาณิชยนิยมนี้อย่างเต็มที่แล้ว ก็ได้เปิดทางให้แก่การประกอบการแบบเสรีนิยมโดยให้เอกชนได้เข้ามามีส่วนร่วม ตลอดจนให้มีการค้าอย่างเสรีเกิดขึ้นมาอีกด้วย ผลจากการเปลี่ยนแปลงในกิจกรรมทางเศรษฐกิจครั้งนี้ ได้ช่วยให้เกิดการปฏิวัติทางการอุตสาหกรรมขึ้นมา คริสต์ศตวรรษที่ 20 จึงเป็นศตวรรษแห่งผลพวงของลัทธิทุนนิยม และในขณะเดียวกันลัทธินี้ก็ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ อย่างมากมาย ในบางรัฐการเปลี่ยนแปลงนี้ได้เกิดขึ้นในรูปแบบของการขยายบทบาทของรัฐบาลในกิจการทางเศรษฐกิจ มีการให้เอกชนมามีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินและสามารถริเริ่มในกระบวนการทางเศรษฐกิจได้ ทั้งนี้ด้วยการร่วมมือกับภาครัฐบาลที่ให้การสนับสนุนและสร้างกฎเกณฑ์ขึ้นมาในระบบ "เศรษฐกิจผสม" ใหม่นี้ ส่วนในบางรัฐได้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น คือ ลัทธิทุนนิยมนี้ได้ถูกเข้าแทนที่โดยลัทธิสังคมนิยมหรือลัทธิคอมมิวนิสต์ ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานให้รัฐเข้าควบคุมเศรษฐกิจและการค้าอย่างเคร่งครัด ในโลกปัจจุบันนี้ได้มีผู้ตั้งข้อสังเกตบางรายมีความเชื่อว่า ลักษณะขั้นพื้นฐานของลัทธิทุนนิยมที่ยึดหลักให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมและให้เป็นการประกอบการแบบเสรีนิยมนี้ ได้ถูกบิดเบือนในรัฐประชาธิปไตยบางรัฐ โดยใช้สงครามเศรษฐกิจและการเกี่ยวโยงทางอำนาจระหว่างบรรษัทยักษ์ใหญ่ทางอุตสาหกรรมกับฝ่ายรัฐบาล ส่วนในสหภาพโซเวียตและในรัฐที่ปกครองตามระบอบคอมมิวนิสต์ต่าง ๆ ในแถบยุโรปตะวันออก ก็ได้มีการปฏิรูปต่าง ๆ เกิดขึ้น ซึ่งเป็นการไปลดบทบาทของรัฐบาลในการวางแผนและในการควบคุมเศรษฐกิจจากส่วนกลาง และในขณะเดียวกันก็เป็นการไปช่วยสนับสนุนให้มีการใช้แรงจูงใจเรื่องผลกำไรกับอุตสาหกรรมของภาคเอกชนและกับคนงานที่ทำงานในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในระดับอุดมการณ์นั้นก็จะเป็นการยากที่จะให้มีการยอมรับแนวความคิดของลัทธินายทุนนี้ในรัฐที่กำลังพัฒนาอีกหลาย ๆ รัฐ เพราะในประเทศที่กำลังพัฒนาเหล่านี้ไม่ค่อยจะมีระบบที่ให้เอกชนได้เข้ามาเป็นผู้ริเริ่มในกระบวนการทางเศรษฐกิจ ไม่ค่อยมีการออม และไม่ค่อยมีตลาดผู้บริโภคมากนัก ส่วนในรัฐที่ปกครองตามระบอบคอมมิวนิสต์บางรัฐ อย่างเช่น จีนและฮังการี ได้ทำการเปลี่ยนแปลงระบบสังคมนิยมในระหว่างทศวรรษหลังปี ค.ศ. 1980 ที่ให้รัฐมีบทบาทควบคุมนี้ โดยได้ทำการเปลี่ยนแปลงปัจจัยต่าง ๆ ด้วยการยอมให้เอกชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในกิจการทางเศรษฐกิจและให้นำระบบเศรษฐกิจแบบการตลาด มาใช้แทนระบบที่รัฐบาลทำการควบคุมและปฏิบัติการเสียเองอย่างแต่ก่อน

Communism : ลัทธิคอมมิวนิสต์

อุดมการณ์ที่เรียกร้องให้กำจัดสถาบันต่าง ๆ ของพวกนายทุน แล้วสถาปนาสังคมรวมอำนาจทางเศรษฐกิจขึ้นมา ซึ่งให้ที่ดินและทุนตกเป็นของสังคมส่วนรวม ให้เป็นสังคมที่จะไม่มีการขัดแย้งระหว่างชนชั้น และจะไม่มีการใช้อำนาจบังคับของรัฐอีกต่อไป ถึงแม้ว่าจะมีนักปราชญ์ทางการเมืองหลายท่านนับแต่ยุคสมัยเพลโตเป็นต้นมา จะได้พัฒนาทฤษฎีที่รวมเอารูปแบบหลากหลายของลัทธิคอมมิวนิสต์มาก็จริง แต่หลักการของคอมมิวนิสต์สมัยใหม่เพิ่งจะได้มีการตั้งกันขึ้นมาในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 นี่เอง โดยนักสังคมนิยมและนักปฏิรูปหลายท่าน เป็นต้นว่า ฟรังซัว ฟูเรียม, โรเบิร์ต โอเวน, คลาวด์ เซนต์-ซีมอน เป็นต้น แต่ว่าคาร์ล มาร์กซ์ และ เฟรดริช เองเกลส์ ไม่ยอมรับนักสังคมนิยมและนักปฏิรูปเหล่านี้โดยมองว่าคนพวกนี้รวมทั้งพวกคอมมิวนิสต์สายศาสนจักร ล้วนแต่เป็นพวก "ยูโทเปีย" (พวกเพ้อฝัน เป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ) จึงได้วางแบบหลักนิยมที่เรียกว่า "สังคมนิยมแบบวิทยาศาสตร์" ขึ้นมา ซึ่งเป็นหลักการที่ได้กลายเป็นรากฐานของอุดมการณ์ลัทธิคอมมิวนิสต์ในปัจจุบันนี่เอง มีนักทฤษฎีและผู้นำทางการเมืองคอมมิวนิสต์หลายท่านนับแต่กลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา ได้ช่วยกันตีความ ดัดแปลง และแต่งเติมเสริมต่อ ให้แก่ทฤษฎีคอมมิวนิสต์เหล่านี้ แต่ผู้ที่มีคุณูปการที่สำคัญมากที่สุดต่ออุดมการณ์คอมมิวนิสต์นี้ ก็ได้แก่ วลาดิเมียร์ อิลยิช เลนิน, โยเซฟ สตาลิน, ลีออง ทรอสกี, เหมาเจ๋อตง, และโยซิป บรอซ ติโต แต่คนที่พวกคอมมิวนิสต์ ถือว่ามีคุณูปการมากที่สุด คือ วลาดิเมียร์ อิลยิช เลนิน ลัทธิมาร์กซิสต์และลัทธิเลนินได้ให้การสนับสนุนปรัชญาแห่งประวัติศาสตร์ที่บอกไว้ว่าจะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงจากลัทธินายทุนไปสู่ลัทธิสังคมนิยมแน่ ๆ ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้เลย เนื่องจากเป็นผลของความขัดแย้งภายในที่มีอยู่ในธรรมชาติของลัทธินายทุนนิยมนั่นเอง ในหลักการของคอมมิวนิสต์ได้บอกไว้ว่า ความขัดแย้งที่มีอยู่ในธรรมชาติของลัทธินายทุนดังว่าจะก่อให้เกิดสงครามทางชนชั้น และเกิดการแข่งขันกันในทางจักรวรรดินิยมและการล่าเมืองขึ้น ซึ่งก็จะส่งผลให้มีการล้มล้างเหล่ากระฏุมพีผู้เป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตทั้งหลาย โดยการปฏิวัติของพวกชนชั้นกรรมาชีพ ต่อจากนั้นโครงการทางสังคมนิยม ที่ดำเนินการภายใต้ระบบ"เผด็จการของชนชั้นกรรมาชีพ" จะนำไปสู่การยุติสงครามชนชั้น ทำการขจัดความจำเป็นที่จะมีรัฐคงอยู่ออกไป และนำสังคมไปสู่ขั้นตอนสุดท้ายของลัทธิคอมมิวนิสต์แท้ ๆ คือขั้นตอนที่ไม่ต้องมีชนชั้นและไม่ต้องมีรัฐ

ความสำคัญ นับแต่ที่ได้มีการตีพิมพ์หนังสือเรื่อง คอมมิวนิสต์ มานิเฟสโต เมื่อปี ค.ศ. 1848 มาจนถึงสงครามโลกครั้งที่ 1 ลัทธิคอมมิวนิสต์แนวมาร์กซิสต์นี้ เป็นแค่เรื่องที่นำมาพูดคุยกันในวงการนักวิชาการ และเป็นเพียงหลักนิยมที่สนับสนุนนักก่อกวนที่ไม่บรรลุผลสำเร็จในหลายประเทศ ครั้นเมื่อกองทัพและสังคมรัสเซียถึงแก่การล่มสลายเมื่อ ค.ศ. 1917 นั้นแล้วก็เป็นการเปิดโอกาสสำคัญให้คณะปฏิวัติบอลเชวิกและพวกคอมมิวนิสต์ได้ "สร้างสังคมนิยมในประเทศหนึ่ง" ได้สำเร็จ ในช่วงระหว่าง ค.ศ. 1945 ถึง ค.ศ. 1949 อันเป็นช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ นั้น การเข้ายึดครองดินแดนของกองทัพแดงทำให้การปกครองระบอบคอมมิวนิสต์มีอำนาจในยุโรปตะวันออกและในเกาหลีเหนือ ในขณะที่กองกำลังคอมมิวนิสต์ในพื้นที่ในยูโกสลาเวียและจีนผืนแผ่นดินใหญ่ได้ชัยชนะด้วยกำลังของตนเอง โลกคอมมิวนิสต์ในช่วงทศวรรษหลังปี ค.ศ. 1950 นี้ ตามสายตาของนักสังเกตการณ์ชาวตะวันตกหลายท่านบอกว่า มีลักษณะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่ครั้นต่อมาถึงช่วงทศวรรษหลังปี ค.ศ. 1960 ก็ได้เกิดการแตกแยกครั้งสำคัญระหว่างจีนกับสหภาพโซเวียต กับทั้งรัฐคอมมิวนิสต์ต่าง ๆ ในยุโรปตะวันออกก็ได้มีอิสระมากยิ่งขึ้น โดยอิงอาศัยแม่แบบของลัทธิติโตหรือแม่แบบลัทธิคอมมิวนิสต์แห่งชาติในยูโกสลาเวีย แต่ทว่าการแตกแยกในทางหลักการสำคัญ ๆ ระหว่างหมู่นักทฤษฎีและนักยุทธศาสตร์คอมมิวนิสต์นับตั้งแต่ปี ค.ศ.1917 เป็นต้นมานั้น เป็นเรื่องในประเด็นที่ว่าลัทธิคอมมิวนิสต์กับลัทธิชาตินิยมเกื้อกูลซึ่งกันและกันหรือไม่ หรือในประเด็นที่ว่า อุดมคติของ "ลัทธินานาชาตินิยมของชนชั้นกรรมาชีพ" และการส่งเสริมให้มีการปฏิบัติทั่วโลกนี้ ควรจะมาก่อนการพัฒนาทางการเมืองและทางเศรษฐกิจแห่งชาติหรือไม่ พวกนักปฏิบัติการและข้ารัฐการรุ่นใหม่ในสหภาพโซเวียต และในรัฐคอมมิวนิสต์ต่าง ๆ ในยุโรปตะวันออก ต่างก็ได้เริ่มเข้ามามีบทบาทเป็นผู้นำมากยิ่งขึ้น และพวกคนเหล่านี้ก็มีความประสงค์จะพัฒนาความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศ ตลอดจนทำการปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ในประเทศของตนให้ดียิ่งขึ้น ในช่วงกลางทศวรรษหลังปี ค.ศ. 1960 พวกคอมมิวนิสต์จีนได้เกิดการขัดแย้งชิงอำนาจกันระหว่างฝ่ายเคร่งหลักการในพรรคฯกับฝ่าย "ผู้จัดการ" ทำให้เกิด "ปฏิวัติวัฒธรรม" ภายใต้การนำของท่านประธานเหมาเจ๋อตง เพื่อคืนความบริสุทธิ์ให้แก่การปฏิวัติและเป้าหมายทางอุดมการณ์ของการปฏิวัตินี้ พวกผู้นำจีนต่างก็ได้ประณามพวกคอมมิวนิสต์สายโซเวียตและสายยุโรปตะวันออก ว่าเป็นพวก "ลัทธิแก้” ความแตกแยกระหว่างค่ายจีนกับค่ายโซเวียตครั้งนี้ เกี่ยวพันกับต่อสู้เพื่อแย่งชิงความเป็นผู้นำของโลกคอมมิวนิสต์ที่ได้เกิดการแตกแยกกันอย่างรวดเร็วเพราะแรงกระทบจากลัทธิชาตินิยมและลัทธิหลายศูนย์อำนาจ แต่หลังจากการถึงแก่อสัญกรรมของท่านประธานเหมาเจ๋อตงแล้ว พวกผู้นำจีนยุคใหม่ก็ได้เริ่มใช้กระบวนการทางเสรีนิยมในการพัฒนาเศรษฐกิจของจีนให้เจริญเติบโตมากยิ่งขึ้น ลัทธิมาร์กซิสต์ - ลัทธิเลนินแบบเดิม ๆ ซึ่งมีหลักการสำคัญบอกไว้ว่า การปฏิวัติล้มล้างในหมู่รัฐนายทุนที่ถึงภาวะสุกงอมเต็มที่ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้นี้ ได้ถูกเข้ามาแทนที่โดยการเน้นที่จะหาทางพิสูจน์ว่าลัทธิคอมมิวนิสต์นี้เป็นระบบสังคมที่ประเสริฐกว่าในทางปฏิบัติ ยุทธวิธีการปฏิวัติของคอมมิวนิสต์ในยุคปัจจุบันจึงได้มุ่งไปในทางให้การสนับสนุนแก่ขบวนการชาตินิยมต่าง ๆ ในชาติที่กำลังพัฒนาทั้งหลาย

Communist Doctrine : Gorbachevism

หลักนิยมคอมมิวนิสต์ : ลัทธิกอร์บาชอฟ

คุณูปการต่าง ๆ ต่อลัทธิมาร์กซิสต์-ลัทธิเลนินภายใต้การนำของ มิคาอิล กอร์บาชอฟ เมื่อปี ค.ศ.1985 กอร์บาชอฟประธานาธิบดีแห่งสหภาพโซเวียต ได้เริ่มการปฏิรูปต่าง ๆ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจและด้านการเมืองเป็นการใหญ่ด้วยการใช้นโยบายแบบเสรีนิยม โดยอ้างว่าการปฏิรูปครั้งนี้สะท้อนให้เห็นแนวความคิดขั้นพื้นฐานของลัทธิมาร์กซิสต์-ลัทธิเลนินอย่างแท้จริง การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ได้แก่ (1) มีการพยายามเพิ่มผลผลิตของกรรมกรด้วยการให้ลดการติดสุราและลดการขาดงานในสถานที่ทำงาน (2) มีการใช้นโยบาย "ร่วมทุน"อย่างจำกัด กับบริษัทเอกชนจากต่างประเทศ (3) ให้หน่วยงานทางเศรษฐกิจและทางการพาณิชย์มีเสรีภาพในการตัดสินใจมากขึ้น โดยปลอดจากการควบคุมทางการเมือง และให้สอดคล้องกับการปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพ (4) ส่งเสริมมาตรการบางอย่างในวิสาหกรรมภาคเอกชน และ (5) ให้ใช้เศรษฐกิจแบบการตลาดที่ยึดหลักอุปทานอุปสงค์เป็นสำคัญ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสมัยกอร์บาชอฟนี้ เรียกในภาษารัสเซียว่า "กลาสนอสต์ (แปลว่า การเปิด)" และ "เปเรสทรอยกา (แปลว่า การบูรณะเศรษฐกิจ)" ส่วนสไตล์หรือรูปแบบของกอร์บาชอฟก็มีลักษณะคล้าย ๆ กับสไตล์ของนักการเมืองฝ่ายตะวันตก คือ จะเสนอรายงานผ่านสื่อมวลชนสู่ประชาชนอยู่เนือง ๆ และก็ชอบเข้าไปคลุกคลีกับประชาชนชาวโซเวียตเพื่อรับรู้ความรู้สึกของคนในระดับล่าง ๆ ว่าพวกเขามีความรู้สึกอย่างไรกับเรื่องต่าง ๆ ในขณะนั้น และเขาก็ยังมีแนวปฏิบัติอื่น ๆ คือ (1) มีการปล่อยนักโทษทางการเมืองหลายราย (2) มีการอนุญาตให้ตีพิมพ์งานเขียนต่าง ๆ ที่แต่เดิมห้ามมิให้มีการตีพิมพ์ และ (3) มีการสนับสนุนให้มีการเลือกตั้งในลักษณะที่มีการแข่งขันแบบประชาธิปไตยสำหรับบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งเป็นผู้นำทั้งทางเศรษฐกิจและทางการเมือง แม้ว่าโครงการแบบเสรีนิยมของกอร์บาชอฟนี้ ในเนื้อหาและการนำไปใช้จะเกี่ยวกับกับเรื่องภายในประเทศเสียส่วนใหญ่ แต่ที่เกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศได้เสนอให้มีการควบคุมอาวุธและลดกำลังรบ อย่างเช่นให้ใช้ระบบ "ซีโร-ออฟชั่น" เพื่อกำจัดอาวุธปล่อยพิสัยปานกลางออกจากยุโรป และเสนอให้มีสนธิสัญญาห้ามทดลองอาวุธนิวเคลียร์แบบเบ็ดเสร็จ เป็นต้น

ความสำคัญ โครงการปฏิรูปในแบบเสรีนิยมที่ดำเนินการโดย มิคาอิล กอร์บาชอฟ แห่งสหภาพโซเวียต เป็นการเบี่ยงเบนครั้งสำคัญจากลัทธิมากซิสต์-ลัทธิเลนินแบบเดิม ๆ ที่ได้เกิดขึ้นนับแต่มีการปฏิวัติบอลเชวิก และการก้าวขึ้นสู่อำนาจของพวกคอมมิวนิสต์เมื่อปี ค.ศ. 1919 เมื่อการณ์เป็นเช่นนี้จึงเกิดการคาดเดากันไปต่าง ๆ นานาในหมู่ประเทศตะวันตก บ้างก็ได้ตั้งคำถามขึ้นมาว่า โครงการแบบเสรีนิยมของกอร์บาชอฟนี้จะอยู่รอดจากการรุมโจมตีจากฝ่ายที่เป็นศัตรูของโครงการ คือจากภายในของสหภาพโซเวียตเองและจากกลุ่มประเทศในกติกาสัญญาวอร์ซอได้หรือไม่ และถ้าหากว่าโครงการแบบเสรีนิยมของเขานี้ประสบความสำเร็จ มันจะเป็นคุณหรือเป็นโทษต่อผลประโยชน์ของชาติตะวันตกกันแน่ และการที่สหภาพโซเวียตมีแนวโน้มไปในทางเสรีนิยมและเป็นแบบประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้นนี้ จะไปช่วยลดการคุกคามทั้งทางด้านการทหารและทางด้านอุดมการณ์ลงมาหรือไม่ คำถามต่าง ๆ ที่ว่ามานี้และรวมถึงคำถามที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ได้ก่อให้เกิดการถกเถียงคาดเดาต่าง ๆ นานา อย่างไรก็ดี เรื่องแรงกระทบของลัทธิกอร์บาชอฟต่อสหภาพโซเวียต ต่อประเทศฝ่ายตะวันตก และต่อทั่วทั้งโลก จะเป็นอย่างไรและมีมากขนาดไหน ยังเป็นปริศนาที่ดำมืดอยู่ต่อไป โครงการ "กลาสนอสต์" และ "เปเรสทรอยกา" ในสหภาพโซเวียตมีความละม้ายคล้ายคลึงกับขบวนการเสรีนิยมที่เริ่มขึ้นในสาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อปี ค.ศ. 1977 โดย เติ้งเสี่ยวผิง